ระเบียบกรมสรรพากร
ว่าด้วยการดำเนินคดีแพ่ง
พ.ศ. 2546
เพื่อให้การปฏิบัติงานเกี่ยวกับการดำเนินคดีแพ่งของกรมสรรพากรดำเนินไปอย่างมีระบบ
มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
สมประโยชน์ของทางราชการ กรมสรรพากรจึงวางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า
"ระเบียบกรมสรรพากร
ว่าด้วยการดำเนินคดีแพ่ง พ.ศ.2546"
ข้อ 2 ระเบียบนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เป็นต้นไป
ข้อ 3 ให้ยกเลิกระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการดำเนินคดี พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบกรมสรรพากร
ว่าด้วยการดำเนินคดี (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2545
บรรดาระเบียบ แนวทางปฏิบัติและคำสั่งอื่นใดในส่วนที่กำหนดไว้แล้วในระเบียบนี้
หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
ให้ใช้ระเบียบนี้แทน
หมวด 1
การดำเนินคดีแพ่ง
ข้อ 4 การดำเนินคดีแพ่งเกี่ยวกับภาษีอากรซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลภาษีอากรกลาง
4.1
กรมสรรพากรเป็นโจทก์
กรณีกรมสรรพากรเป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลภาษีอากรกลาง
หมายถึง คดีพิพาทหรือโต้แย้งสิทธิและหน้าที่หรือประสงค์จะบังคับสิทธิเรียกร้องเป็นคดีแพ่ง
และเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร
พ.ศ. 2528 ให้ดำเนินการ
ดังนี้
ในเขตกรุงเทพมหานคร
4.1.1
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ลูกหนี้มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่หรือที่มูลคดีเกิดขึ้น
แล้วแต่กรณี
รายงานข้อเท็จจริงและจัดส่งสำนวนการตรวจสอบภาษีอากร สำนวนการเร่งรัดภาษีอากรค้าง สำเนาทะเบียนบ้าน
หนังสือรับรองทะเบียนนิติบุคคลและเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
พร้อมทำความเห็นไปยังสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัดเพื่อพิจารณา
โดยต้องดำเนินการก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความไม่น้อยกว่า
2 ปี
หรือก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความตามกฎหมาย
แล้วแต่กรณี
4.1.2
สำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว
ให้ดำเนินการ ดังนี้
4.1.2/1
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นควรยุติการดำเนินคดี
ให้ทำความเห็นเสนอกรมสรรพากรเพื่อขออนุมัติ
เมื่อกรมสรรพากรสั่งการให้ยุติเรื่อง ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทราบ
เพื่อดำเนินการเร่งรัดภาษีอากรค้างหรือดำเนินการอื่นใดตามควรแก่กรณี
4.1.2/2
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นควรดำเนินคดี
ให้จัดส่งเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
และใบแต่งทนายความซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
จำนวน 2 ฉบับ ให้สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อแต่งตั้งพนักงานอัยการดำเนินการว่าต่างคดี
ทั้งนี้ให้รีบดำเนินการโดยด่วนก่อนสิทธิเรียกร้อง
ขาดอายุความตามกฎหมาย
กรณีลูกหนี้มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่ตั้งแต่ 2 ภาคขึ้นไป
ให้สำนักงานสรรพากรภาคที่ลูกหนี้มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่หรือมีภูมิลำเนาอยู่และมีภาษีอากรค้างตั้งอยู่เป็นผู้ดำเนินการ
เว้นแต่สำนักงานสรรพากรภาคที่ลูกหนี้มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่หรือมีภูมิลำเนาอยู่ไม่มีภาษีอากรค้าง
ให้สำนักงานสรรพากรภาคซึ่งมีภาษีอากรค้างตั้งอยู่จำนวนมากกว่าเป็นผู้ดำเนินการ
4.1.3
การดำเนินการในชั้นพนักงานอัยการและการดำเนินกระบวนพิจารณา
ในชั้นศาลให้สำนักงานสรรพากรภาคมอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่ในสังกัดเป็นผู้ประสานงานกับพนักงานอัยการผู้ว่าคดี
และให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประสานงานร่วมด้วยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
4.1.4 ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลการดำเนินคดีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
และจัดส่งสำเนาคำพิพากษาที่ถึงที่สุดให้กรมสรรพากรด้วย
ในเขตจังหวัดอื่น
4.1.5
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ลูกหนี้มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่หรือที่มูลคดีเกิดขึ้น
แล้วแต่กรณี
รายงานข้อเท็จจริงและจัดส่งสำนวนการตรวจสอบภาษีอากร สำนวนการเร่งรัดภาษีอากรค้าง สำเนาทะเบียนบ้าน
หนังสือรับรองทะเบียนนิติบุคคลและเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง
ทั้งหมด พร้อมทำความเห็นไปยังสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัดเพื่อพิจารณา
โดยต้องดำเนินการก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความไม่น้อยกว่า
2 ปี
หรือก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความตามกฎหมาย
แล้วแต่กรณี
4.1.6
สำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว
ให้ดำเนินการ ดังนี้
4.1.6/1
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นควรยุติการดำเนินคดี
ให้ทำความเห็นเสนอกรมสรรพากรเพื่อขออนุมัติ
เมื่อกรมสรรพากรสั่งการให้ยุติเรื่อง ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทราบ
เพื่อดำเนินการเร่งรัดภาษีอากรค้าง
หรือดำเนินการอื่นใดตามควรแก่กรณี
4.1.6/2
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นควรดำเนินคดี
ให้จัดส่งเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานครดำเนินการ
ดังนี้
สำนักงานสรรพากรภาค 4 และภาค 5 ให้ส่งเรื่องให้สำนักงานสรรพากรภาค 1 ดำเนินการ
สำนักงานสรรพากรภาค 7 ภาค 8 ภาค 9 และภาค 10 ให้ส่งเรื่องให้สำนักงานสรรพากรภาค 2 ดำเนินการ
สำนักงานสรรพากรภาค 6 ภาค 11 และภาค 12 ให้ส่งเรื่องให้สำนักงานสรรพากรภาค 3 ดำเนินการ
กรณีลูกหนี้มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่ตั้งแต่ 2 ภาคขึ้นไป ให้สำนักงานสรรพากรภาคที่ลูกหนี้มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่หรือมีภูมิลำเนาอยู่และมีภาษีอากรค้างตั้งอยู่
เป็นผู้ดำเนินการ เว้นแต่สำนักงานสรรพากรภาคที่ลูกหนี้มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่หรือมีภูมิลำเนาอยู่ไม่มีภาษีอากรค้าง
ให้สำนักงานสรรพากรภาคซึ่งมีภาษีอากรค้างตั้งอยู่จำนวนมากกว่าเป็นผู้ดำเนินการ
4.1.7
เมื่อสำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานครได้รับเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐานจากสำนักงานสรรพากรภาคในต่างจังหวัดตามข้อ
4.1.6/2 แล้ว
ให้จัดส่งเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และใบแต่งทนายความซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
จำนวน 2 ฉบับ
ให้สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อแต่งตั้งพนักงานอัยการดำเนินการ ว่าต่างคดี ทั้งนี้ให้รีบดำเนินการโดยด่วนก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความตามกฎหมาย
4.1.8
การดำเนินการในชั้นพนักงานอัยการและการดำเนินกระบวนพิจารณา
ในชั้นศาลให้สำนักงานสรรพากรภาคมอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่ในสังกัดเป็นผู้ประสานงาน
กับพนักงานอัยการผู้ว่าคดี
และให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประสานงานร่วมด้วยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
4.1.9
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลการดำเนินคดีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
และจัดส่งสำเนาคำพิพากษาที่ถึงที่สุดให้กรมสรรพากรด้วย
4.2
กรมสรรพากรและหรือเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรเป็นจำเลย
กรณีกรมสรรพากร
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และหรือเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรถูกฟ้องเป็นจำเลย
และเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร
พ.ศ. 2528 ให้ดำเนินการ
ดังนี้
ในเขตกรุงเทพมหานคร
4.2.1
ให้สำนักงานเลขานุการกรมหรือหน่วยงานที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์
จัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องดังกล่าวไปยังกลุ่มงานสืบสวนและคดีทันที
ให้กลุ่มงานสืบสวนและคดีตรวจสอบว่ามูลหนี้ภาษีอากรตามฟ้องเป็นหนี้ภาษีอากรที่ตั้งค้างอยู่
ณ หน่วยงานใด
หรือมูลคดีเกิดขึ้นจากหน่วยงานใด แล้วดำเนินการจัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้สำนักงานสรรพากรภาคที่รับผิดชอบเพื่อดำเนินการภายในวันทำการถัดไป
พร้อมทั้งแจ้ง วัน เดือน ปี
และวิธีการรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ทราบด้วย ทั้งนี้ให้กลุ่มงานสืบสวนและคดีจัดทำทะเบียนคดีไว้ด้วย
กรณีหนี้ภาษีอากรตามฟ้องประเมินโดยสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่
ไม่ว่าหนี้ภาษีอากรจะตั้งค้างอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครหรือในเขตจังหวัดอื่น
ให้กลุ่มงานสืบสวนและคดีดำเนินการจัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปยังสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อดำเนินการต่อไป
กรณีหนี้ภาษีอากรตามฟ้องประเมินโดยสำนักตรวจสอบภาษีกลาง
ไม่ว่าหนี้ภาษีอากรจะตั้งค้างอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครหรือในเขตจังหวัดอื่น
ให้กลุ่มงานสืบสวนและคดีดำเนินการจัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปยังสำนักงานสรรพากรภาคที่รับผิดชอบหรือสำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานครตามข้อ
4.1.6/2 เพื่อดำเนินการต่อไป
4.2.2
กรณีเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเองโดยตรง
ให้รายงานพร้อมจัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง
ใบแต่งทนายความซึ่งลงนามแล้ว จำนวน 2 ฉบับ และเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ไปยังกลุ่มงานสืบสวนและคดี ภายในวันทำการถัดไป พร้อมทั้งแจ้งวัน เดือน ปี
และวิธีการรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ทราบด้วย
ทั้งนี้ให้กลุ่มงานสืบสวนและคดีดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ
4.2.1
4.2.3
เมื่อสำนักงานสรรพากรภาคได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์
ตามข้อ 4.2.1 และข้อ
4.2.2 แล้ว
ให้ดำเนินการจัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ใบแต่งทนายความ ซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
หรือใบแต่งทนายความ ซึ่งลงนามแล้วของอธิบดีกรมสรรพากร
(กรณีระบุชื่ออธิบดีกรมสรรพากรเป็นจำเลย) และใบแต่งทนายความซึ่งลงนามแล้วของจำเลยอื่น คนละ
2 ฉบับ
สำนวนการตรวจสอบภาษีอากร สำนวนการพิจารณาอุทธรณ์ และเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ขอจากหน่วยงานที่ทำการประเมินภาษี
หรือจากหน่วยงานที่มูลคดีเกิดขึ้น
แล้วแต่กรณี ให้สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อแต่งตั้งพนักงานอัยการดำเนินการแก้ต่างคดี
โดยต้องส่งภายใน 3 วันทำการนับแต่วันได้รับหรือก่อนครบกำหนดยื่นคำให้การแก้ต่างคดี
แล้วแต่วันใดจะถึงกำหนดก่อน
หากยังไม่ได้รับสำนวนการตรวจสอบภาษีอากร สำนวนการพิจารณาอุทธรณ์
หรือเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ก็ให้จัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง
และใบแต่งทนายความซึ่งลงนามแล้วให้สำนักงานอัยการสูงสุดก่อน
การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง
และใบแต่งทนายความซึ่งลงนามแล้วของจำเลยแต่ละราย
ให้จัดส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดทันทีไม่ต้องรอนำส่งพร้อมจำเลยอื่น
เนื่องจากกำหนดเวลาการยื่นคำให้การ
แก้ต่างคดีของจำเลยแต่ละรายครบกำหนดเวลาไม่พร้อมกัน
แล้วแต่ว่าได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเมื่อใด
4.2.4
การดำเนินการในชั้นพนักงานอัยการและการดำเนินกระบวนพิจารณา
ในชั้นศาล ให้สำนักงานสรรพากรภาคมอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่ในสังกัดเป็นผู้ประสานงาน
กับพนักงานอัยการผู้ว่าคดี
และให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประสานงานร่วมด้วยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
4.2.5
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลการดำเนินคดีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
และจัดส่งสำเนาคำพิพากษาที่ถึงที่สุดให้กรมสรรพากรด้วย
ในเขตจังหวัดอื่น
4.2.6
ให้หน่วยงานที่รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์ตรวจสอบว่ามูลหนี้ภาษีอากรตามฟ้องเป็นหนี้ภาษีอากรที่ตั้งค้างอยู่
ณ หน่วยงานใด
หรือมูลคดีเกิดขึ้นจากหน่วยงานใด แล้วดำเนินการจัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานคร
ตามข้อ 4.1.6/2 ดำเนินการภายในวันทำการถัดไป พร้อมทั้งแจ้ง วัน
เดือน ปี และวิธีการรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ทราบด้วย
ทั้งนี้ให้หน่วยงานที่รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องจัดทำทะเบียนคดีไว้ด้วย
กรณีสำนักงานเลขานุการกรมเป็นผู้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์
ให้ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ 4.2.1
4.2.7
เมื่อสำนักงานสรรพากรภาคได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์ตามข้อ
4.2.6 แล้ว
ให้ดำเนินการจัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง
ใบแต่งทนายความซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
หรือใบแต่งทนายความซึ่งลงนามแล้ว
ของอธิบดีกรมสรรพากร (กรณีระบุชื่ออธิบดีกรมสรรพากรเป็นจำเลย)
และใบแต่งทนายความ ซึ่งลงนามแล้วของจำเลยอื่นคนละ
2 ฉบับ
สำนวนการตรวจสอบภาษีอากร สำนวนการพิจารณาอุทธรณ์ และเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ขอจากหน่วยงานที่ทำการประเมิน
หรือจากหน่วยงาน ที่มูลคดี เกิดขึ้น
แล้วแต่กรณี ให้สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อแต่งตั้งพนักงานอัยการดำเนินการแก้ต่างคดี
โดยต้องส่งภายใน 3 วันทำการนับแต่วันได้รับหรือก่อนครบกำหนดยื่นคำให้การแก้ต่างคดี
แล้วแต่วันใดจะถึงกำหนดก่อน ทั้งนี้
ให้ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ 4.2.3
4.2.8
กรณีเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเองโดยตรง
ให้รายงานพร้อมจัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง
ใบแต่งทนายความซึ่งลงนามแล้ว จำนวน 2 ฉบับ และเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ไปยังกลุ่มงานสืบสวนและคดี ภายในวันทำการถัดไป พร้อมทั้งแจ้งวัน เดือน ปี
และวิธีการรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ทราบด้วย
ทั้งนี้ให้กลุ่มงานสืบสวนและคดีดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ
4.2.1 กรณีสรรพากรภาคถูกฟ้องเป็นจำเลย
และมูลหนี้ภาษีอากรตามฟ้องเป็นหนี้ภาษีอากรที่ตั้งค้างอยู่หรือมูลคดีเกิดขึ้นในท้องที่ความรับผิดชอบ
ให้สำนักงานสรรพากรภาคจัดส่งสำนวนการตรวจสอบภาษีอากร
สำนวนการพิจารณาอุทธรณ์ และเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ให้สำนักงานสรรพากรภาคตามข้อ 4.1.6/2
เพื่อดำเนินการ เช่นเดียวกับข้อ
4.2.7
4.2.9
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลการดำเนินคดีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
และจัดส่งสำเนาคำพิพากษาที่ถึงที่สุดให้กรมสรรพากรด้วย
4.3
การลดยอดหนี้ตามคำพิพากษาของศาล
กรณีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดเป็นผลให้ภาษีอากรค้างลดลงทั้งหมด
หรือแต่บางส่วน
ไม่ว่ากรมสรรพากรจะเป็นโจทก์หรือจำเลยก็ตาม ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินคดีจัดทำหนังสือแจ้งผลคำพิพากษาของศาล
(ท.ป.3ข/1) ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อทำการลดยอดภาษีอากรค้างต่อไป
ข้อ 5 การดำเนินคดีแพ่งซึ่งไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลภาษีอากรกลาง
5.1
กรมสรรพากรเป็นโจทก์
กรณีกรมสรรพากรเป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งเพื่อบังคับสิทธิเรียกร้องกับผู้ค้างภาษีอากรหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง
โดยอาศัยมูลหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ให้ดำเนินการ ดังนี้
ในเขตกรุงเทพมหานคร
5.1.1
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ลูกหนี้มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่หรือที่มูลคดีเกิดขึ้นแล้วแต่กรณี
รายงานข้อเท็จจริงพร้อมจัดส่งสำนวนการตรวจสอบภาษีอากร
สำนวนการเร่งรัดภาษีอากรค้าง สำเนาทะเบียนบ้าน หนังสือรับรองทะเบียนนิติบุคคลและเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
พร้อมทำความเห็นไปยังสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัดเพื่อพิจารณา
โดยต้องดำเนินการก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความไม่น้อยกว่า
2 ปี
หรือก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความตามกฎหมาย
แล้วแต่กรณี
5.1.2
สำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว
ให้ดำเนินการ ดังนี้
5.1.2/1
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นควรยุติการดำเนินคดี
ให้ทำความเห็นเสนอกรมสรรพากรเพื่อขออนุมัติ
เมื่อกรมสรรพากรสั่งการให้ยุติเรื่อง ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทราบ
เพื่อดำเนินการเร่งรัดภาษีอากรค้าง
หรือดำเนินการอื่นใดตามควรแก่กรณี
5.1.2/2
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นควรดำเนินคดี
ให้จัดส่งเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
และใบแต่งทนายความซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
จำนวน 2 ฉบับ ให้สำนักงานอัยการสูงสุด
เพื่อแต่งตั้งพนักงานอัยการดำเนินการว่าต่างคดี
ทั้งนี้ให้รีบดำเนินการโดยด่วนก่อนสิทธิเรียกร้อง
ขาดอายุความตามกฎหมาย
กรณีคดีแพ่งดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดอื่น
ให้สำนักงานสรรพากรภาคตามวรรคหนึ่ง
จัดส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปให้สำนักงานสรรพากรภาคซึ่งควบคุมสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดนั้น
เพื่อดำเนินการจัดส่งเรื่องพร้อมใบแต่งทนายความซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
จำนวน 2 ฉบับ ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่เพื่อจัดส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการจังหวัดดำเนินการว่าต่างคดีต่อไป
5.1.3
การดำเนินการในชั้นพนักงานอัยการและการดำเนินกระบวนพิจารณา
ในชั้นศาล ให้สำนักงานสรรพากรภาคหรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่มอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่
ในสังกัดเป็นผู้ประสานงานกับพนักงานอัยการผู้ว่าคดี
และให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประสานงานร่วมด้วยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
5.1.4
ให้สำนักงานสรรพากรภาคหรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่แจ้งผล
การดำเนินคดี พร้อมจัดส่งสำเนาคำพิพากษาที่ได้รับจากสำนักงานอัยการสูงสุดหรือสำนักงานอัยการจังหวัด
แล้วแต่กรณี ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
และจัดส่งสำเนาคำพิพากษาที่ถึงที่สุดให้กรมสรรพากรด้วย
ในเขตจังหวัดอื่น
5.1.5
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ลูกหนี้มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่หรือที่มูลคดีเกิดขึ้นแล้วแต่กรณี
รายงานข้อเท็จจริงพร้อมจัดส่งสำนวนการตรวจสอบภาษีอากร
สำนวนการเร่งรัดภาษีอากรค้าง สำเนาทะเบียนบ้าน
หนังสือรับรองทะเบียนนิติบุคคลและเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง
ทั้งหมด
พร้อมทำความเห็นไปยังสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัดเพื่อพิจารณา
โดยต้องดำเนินการก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความไม่น้อยกว่า
2 ปี
หรือก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความตามกฎหมาย
แล้วแต่กรณี
5.1.6
สำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว
ให้ดำเนินการ ดังนี้
5.1.6/1
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นควรยุติการดำเนินคดี
ให้ทำความเห็นเสนอกรมสรรพากรเพื่อขออนุมัติ
เมื่อกรมสรรพากรสั่งการให้ยุติเรื่อง ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทราบ
เพื่อดำเนินการเร่งรัดภาษีอากรค้าง
หรือดำเนินการอื่นใดตามควรแก่กรณี
5.1.6/2
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นควรดำเนินคดี
ให้จัดส่งเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
และใบแต่งทนายความซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
จำนวน 2 ฉบับ ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่เพื่อจัดส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการจังหวัดดำเนินการว่าต่างคดี
ทั้งนี้ให้รีบดำเนินการโดยด่วนก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความตามกฎหมาย
กรณีคดีแพ่งดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดอื่น
ให้สำนักงานสรรพากรภาคตามวรรคหนึ่ง
จัดส่งเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปให้สำนักงานสรรพากรภาคซึ่งควบคุมสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดนั้น
เพื่อดำเนินการจัดส่งเรื่องพร้อมใบแต่งทนายความซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
จำนวน 2 ฉบับ ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่เพื่อจัดส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการจังหวัดดำเนินการว่าต่างคดีต่อไป
กรณีคดีแพ่งดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของศาลซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร
ให้สำนักงานสรรพากรภาคตามวรรคหนึ่งจัดส่งเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานครตามข้อ
4.1.6/2 เพื่อดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ
5.1.2/2
5.1.7
การดำเนินการในชั้นพนักงานอัยการและการดำเนินกระบวนพิจารณา
ในชั้นศาล ให้สำนักงานสรรพากรภาคหรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่มอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่
ในสังกัดเป็นผู้ประสานงานกับพนักงานอัยการผู้ว่าคดี
และให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประสานงานร่วมด้วยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
5.1.8
ให้สำนักงานสรรพากรภาคหรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่แจ้งผล
การดำเนินคดี พร้อมจัดส่งสำเนาคำพิพากษาที่ได้รับจากสำนักงานอัยการสูงสุดหรือสำนักงานอัยการจังหวัด
แล้วแต่กรณี
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป และจัดส่งสำเนาคำพิพากษาที่ถึงที่สุดให้กรมสรรพากรด้วย
5.2
กรมสรรพากรและหรือเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรเป็นจำเลย
กรณีกรมสรรพากรและหรือเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรถูกฟ้องเป็นจำเลยหรือจำเลยร่วมในคดีแพ่ง
เนื่องด้วยการปฏิบัติหน้าที่โดยอาศัยมูลหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ ให้ดำเนินการ
ดังนี้
ในเขตกรุงเทพมหานคร
5.2.1
ให้สำนักงานเลขานุการกรมหรือหน่วยงานที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์
จัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องดังกล่าวไปยังกลุ่มงานสืบสวนและคดีทันที
ให้กลุ่มงานสืบสวนและคดีตรวจสอบว่ามูลหนี้ภาษีอากรตามฟ้อง
เป็นหนี้ภาษีอากรที่ตั้งค้างอยู่ ณ
หน่วยงานใด หรือมูลคดีเกิดขึ้นจากหน่วยงานใด แล้วดำเนินการจัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง
ให้สำนักงานสรรพากรภาคที่รับผิดชอบเพื่อดำเนินการภายในวันทำการถัดไป
พร้อมทั้งแจ้งวัน เดือน ปี
และวิธีการรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ทราบด้วย
หากมูลหนี้ภาษีอากรตามฟ้องเกิดขึ้นในจังหวัดอื่น
แต่มีการฟ้องคดีที่ศาลแพ่ง
ก็ให้จัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานครตามข้อ
4.1.6/2 ภายในวันทำการถัดไป
ทั้งนี้ ให้กลุ่มงานสืบสวนและคดีจัดทำทะเบียนคดีไว้ด้วย
5.2.2
กรณีเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเองโดยตรง
ให้รายงานพร้อมจัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง
ใบแต่งทนายความซึ่งลงนามแล้ว จำนวน 2 ฉบับ และเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ไปยังกลุ่มงานสืบสวนและคดี ภายในวันทำการถัดไป พร้อมทั้งแจ้งวัน เดือน ปี
และวิธีการรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ทราบด้วย
ทั้งนี้ให้กลุ่มงานสืบสวนและคดีดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ
5.2.1
5.2.3
เมื่อสำนักงานสรรพากรภาคได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์
ตามข้อ 5.2.1 และข้อ
5.2.2 แล้ว
ให้ดำเนินการจัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ใบแต่งทนายความซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
ใบแต่งทนายความ
ซึ่งลงนามแล้วของจำเลยอื่น คนละ 2 ฉบับ และเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ให้สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อแต่งตั้งพนักงานอัยการดำเนินการแก้ต่างคดี
โดยต้องส่งภายใน 3 วันทำการนับแต่วันได้รับหรือก่อนครบกำหนดยื่นคำให้การแก้ต่างคดี
แล้วแต่วันใดจะถึงกำหนดก่อน
ทั้งนี้ให้ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ 4.2.3
5.2.4
การดำเนินการในชั้นพนักงานอัยการและการดำเนินกระบวนพิจารณา
ในชั้นศาล ให้สำนักงานสรรพากรภาคมอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่ในสังกัดเป็นผู้ประสานงาน
กับพนักงานอัยการผู้ว่าคดี
และให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประสานงานร่วมด้วยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
5.2.5
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลการดำเนินคดี
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
และจัดส่งสำเนาคำพิพากษาที่ถึงที่สุดให้กรมสรรพากรด้วย
ในเขตจังหวัดอื่น
5.2.6
ให้หน่วยงานที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์จัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง
รวมทั้งเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องกับมูลหนี้ที่ฟ้องคดีดังกล่าว
ให้สำนักงานสรรพากรภาคซึ่งควบคุมหน่วยงานที่มีมูลหนี้ในการฟ้องคดีสังกัดภายในวันทำการถัดไป
พร้อมทั้งแจ้งวัน เดือน ปี
และวิธีการรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ทราบด้วย ทั้งนี้ให้หน่วยงานที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องจัดทำทะเบียนคดีไว้ด้วย
กรณีสำนักงานเลขานุการกรมเป็นผู้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์
ให้ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ 5.2.1
5.2.7
กรณีเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเองโดยตรง
ให้รายงานพร้อมจัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง
ใบแต่งทนายความ ซึ่งลงนามแล้ว จำนวน 2 ฉบับ และเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ไปยังสำนักงานสรรพากรภาคซึ่งควบคุมสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดนั้นภายในวันทำการถัดไป
พร้อมทั้งแจ้งวัน เดือน ปี และวิธีการรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ทราบด้วย
5.2.8
เมื่อสำนักงานสรรพากรภาคได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง
ตามข้อ 5.2.6 และข้อ 5.2.7
แล้ว
ให้ดำเนินการจัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ใบแต่งทนายความซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
ใบแต่งทนายความซึ่งลงนามแล้วของจำเลยอื่น
คนละ 2 ฉบับ
และเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่เพื่อจัดส่งให้สำนักงานอัยการจังหวัดดำเนินการแก้ต่างคดี
โดยต้องส่งภายใน 3 วันทำการนับแต่วันได้รับหรือก่อนครบกำหนดยื่นคำให้การแก้ต่างคดี
แล้วแต่วันใดจะถึงกำหนดก่อน
ทั้งนี้ให้ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ 5.2.3
5.2.9
การดำเนินการในชั้นพนักงานอัยการและการดำเนินกระบวนพิจารณา
ในชั้นศาล ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่มอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่ในสังกัดเป็นผู้ประสานงาน
กับพนักงานอัยการผู้ว่าคดี
และให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประสานงานร่วมด้วยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
5.2.10
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่แจ้งผลการดำเนินคดี
พร้อมจัดส่งสำเนา คำพิพากษาที่ได้รับจากสำนักงานอัยการจังหวัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
และจัดส่งสำเนาคำพิพากษาที่ถึงที่สุดให้กรมสรรพากรด้วย
ข้อ 6 การยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์
กรณีเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินอย่างใดของลูกหนี้ตามคำพิพากษา
ไว้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
และได้ประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำสั่งของศาล
ในคดีแพ่งแล้ว อธิบดีกรมสรรพากรในฐานะเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยภาษีอากร
ในอันที่จะสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อชำระค่าภาษีอากรค้าง
และกรมสรรพากร ในฐานะเจ้าหนี้ภาษีอากรค้างมีสิทธิยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรได้ตามมาตรา 290 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โดยจะต้องยื่นคำร้อง ขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี และให้ดำเนินการ
ดังนี้
ในเขตกรุงเทพมหานคร
6.1
เมื่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้รับประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี
เรื่อง การขายทอดตลาดทรัพย์สิน
ให้ทำการตรวจสอบว่าจำเลยที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทำการขายทอดตลาดทรัพย์สินนั้น
มีภาษีอากรค้างหรือไม่
(รวมทั้งภาษีอากรค้างที่ช่วยทำการเร่งรัดจัดเก็บด้วย) หากพบว่าจำเลยดังกล่าว มีภาษีอากรค้าง
ให้ดำเนินการ ดังนี้
6.1.1
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่รายงานสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัด
โดยให้รายงานข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งประกอบด้วยจำนวนภาษีอากรค้าง ทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร
และทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดไว้
กำหนดวันขายทอดตลาดทรัพย์สิน
หากถึงกำหนดวันขายทอดตลาดแล้ว ให้รายงานด้วยว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินได้หรือไม่
จำนวนเงินที่ขายได้
หรือเลื่อนกำหนดการขายทอดตลาดออกไปเมื่อใด หากทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดติดจำนอง
ให้ตรวจสอบหนี้จำนองทั้งหมดเปรียบเทียบกับราคาทรัพย์สินที่ขายได้
ทั้งนี้ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทำความเห็นเสนอสำนักงานสรรพากรภาค
เพื่อพิจารณาว่าควรดำเนินการยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์หรือไม่
และให้ส่งเอกสารหลักฐานที่จำเป็นในการดำเนินคดี
เช่น สำนวน การตรวจสอบภาษีอากร สำนวนการเร่งรัดภาษีอากรค้าง สำเนาทะเบียนบ้าน
หนังสือรับรองทะเบียนนิติบุคคล ประกาศการขายทอดตลาดทรัพย์สินของเจ้าพนักงานบังคับคดี
ให้สำนักงานสรรพากรภาคโดยด่วน ก่อนครบกำหนดเวลา ตามมาตรา 290 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ไม่น้อยกว่า
7 วัน
6.1.2
สำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว
ให้ดำเนินการ ดังนี้
6.1.2/1
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นควรยื่นคำร้อง
ขอเฉลี่ยทรัพย์ ให้รวบรวมข้อเท็จจริงและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
และใบแต่งทนายความซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
จำนวน 4 ฉบับ พร้อมคำสั่งมอบอำนาจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีและการให้ใช้อำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร จัดส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการยื่นคำขอร้องเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีภายในกำหนดเวลา
ตามมาตรา 290 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
กรณีศาลที่ออกหมายบังคับคดีมีเขตอำนาจศาลอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร
ให้สำนักงานสรรพากรภาคตามวรรคหนึ่งจัดส่งเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ไปให้สำนักงานสรรพากรภาคซึ่งควบคุมสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่อยู่ในเขตอำนาจของ
ศาลจังหวัดนั้นเพื่อดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ
6.2.2/1
6.1.2/2
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นว่า
การยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายหรือมีเหตุอื่นที่ไม่สมควร
ให้ยุติการยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีดังกล่าวแล้วแจ้งให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทราบเพื่อดำเนินการเร่งรัดภาษีอากรค้าง
หรือดำเนินการอื่นใดตามควรแก่กรณี
6.1.3
การดำเนินการในชั้นพนักงานอัยการและการดำเนินกระบวนพิจารณา
ในชั้นศาล ให้สำนักงานสรรพากรภาคหรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่มอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่
ในสังกัดเป็นผู้ประสานงานกับพนักงานอัยการผู้ว่าคดี
และให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประสานงานร่วมด้วยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
6.1.4
เมื่อสำนักงานสรรพากรภาคหรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้รับแจ้งผลคดีขอเฉลี่ยทรัพย์จากสำนักงานอัยการสูงสุดหรือสำนักงานอัยการจังหวัด
ให้ดำเนินการ ดังนี้
6.1.4/1
กรณีศาลมีคำสั่งให้กรมสรรพากรได้รับส่วนเฉลี่ยตามคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งจำนวนส่วนเฉลี่ยและให้รับเงิน
ให้รายงานสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัดทราบเพื่อให้สรรพากรภาคลงนามในหนังสือมอบฉันทะรับเงินในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
จำนวน 1 ฉบับ เพื่อมอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่ในสังกัดรับเงินส่วนเฉลี่ยนำมาชำระภาษีอากรค้าง
แล้วแจ้งให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทราบด้วย
6.1.4/2
กรณีศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เข้าเฉลี่ยทรัพย์
หรืออนุญาตให้ได้รับส่วนเฉลี่ยไม่เต็มจำนวนตามคำร้องขอ
ให้ดำเนินการอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งศาล
ตามหมวด 3 ทั้งนี้ให้แจ้งผลการดำเนินคดีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
ในเขตจังหวัดอื่น
6.2
เมื่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้รับประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี
เรื่อง การขายทอดตลาดทรัพย์สิน
ให้ทำการตรวจสอบว่าจำเลยที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทำการขายทอดตลาดทรัพย์สินนั้น
มีภาษีอากรค้างหรือไม่
(รวมทั้งภาษีอากรค้างที่ช่วยทำการเร่งรัดจัดเก็บด้วย) หากพบว่าจำเลยดังกล่าวมีภาษีอากรค้าง
ให้ดำเนินการ ดังนี้
6.2.1
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่รายงานสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัด
โดยให้รายงานข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งประกอบด้วยจำนวนภาษีอากรค้าง ทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรและทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดไว้
กำหนดวันขายทอดตลาดทรัพย์สิน
หากถึงกำหนดวันขายทอดตลาดแล้ว ให้รายงานด้วยว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินได้หรือไม่
จำนวนเงินที่ขายได้
หรือเลื่อนกำหนดการขายทอดตลาดออกไปเมื่อใด หากทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดติดจำนอง
ให้ตรวจสอบหนี้จำนองทั้งหมดเปรียบเทียบกับราคาทรัพย์สินที่ขายได้
ทั้งนี้ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทำความเห็นเสนอสำนักงานสรรพากรภาค
เพื่อพิจารณาว่าควรดำเนินการยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์หรือไม่
และให้ส่งเอกสารหลักฐานที่จำเป็นในการดำเนินคดี
เช่น สำนวน การตรวจสอบภาษีอากร สำนวนการเร่งรัดภาษีอากรค้าง สำเนาทะเบียนบ้าน
หนังสือรับรองทะเบียนนิติบุคคล ประกาศการขายทอดตลาดทรัพย์สินของเจ้าพนักงานบังคับคดี
ให้สำนักงานสรรพากรภาคโดยด่วน ก่อนครบกำหนดเวลา ตามมาตรา 290 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ไม่น้อยกว่า
7 วัน
6.2.2
สำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว
ให้ดำเนินการ ดังนี้
6.2.2/1
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นควรยื่นคำร้อง
ขอเฉลี่ยทรัพย์ ให้รวบรวมข้อเท็จจริงและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
และใบแต่งทนายความ ซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
จำนวน 4 ฉบับ
พร้อมคำสั่งมอบอำนาจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีและการให้ใช้อำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร จัดส่งให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ซึ่งศาลที่ออกหมายบังคับคดีตั้งอยู่
เพื่อให้สำนักงานอัยการจังหวัดดำเนินการยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 290 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
กรณีศาลที่ออกหมายบังคับคดีมีเขตอำนาจศาลอยู่ในจังหวัดอื่น
ที่ไม่ได้สังกัดสำนักงานสรรพากรภาคตามวรรคหนึ่ง
ให้สำนักงานสรรพากรภาคตามวรรคหนึ่งจัดส่งเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้สำนักงานสรรพากรภาคซึ่งควบคุมสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดนั้นเพื่อดำเนินการต่อไป
กรณีศาลที่ออกหมายบังคับคดีมีเขตอำนาจอยู่ในกรุงเทพมหานคร
ให้สำนักงานสรรพากรภาคตามวรรคหนึ่งจัดส่งเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานคร
ตามข้อ 4.1.6/2 เพื่อดำเนินการเช่นเดียวกับ
ข้อ 6.1.2/1
6.2.2/2
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นว่า
การยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายหรือมีเหตุอื่นที่ไม่สมควร
ให้ยุติการยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีดังกล่าว
แล้วแจ้งให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทราบเพื่อดำเนินการเร่งรัดภาษีอากรค้าง
หรือให้ดำเนินการอื่นใดตามควรแก่กรณีต่อไป
6.2.3
การดำเนินการในชั้นพนักงานอัยการและการดำเนินกระบวนพิจารณา
ในชั้นศาล ให้สำนักงานสรรพากรภาคหรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่มอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่
ในสังกัดเป็นผู้ประสานงานกับพนักงานอัยการผู้ว่าคดี
และให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประสานงานร่วมด้วยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
6.2.4
เมื่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่ผู้รับผิดชอบได้รับแจ้งผลคดีขอเฉลี่ยทรัพย์จากสำนักงานอัยการจังหวัด
ให้ดำเนินการ ดังนี้
6.2.4/1
กรณีศาลมีคำสั่งให้กรมสรรพากรได้รับส่วนเฉลี่ยตามคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์
และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งจำนวนส่วนเฉลี่ยและให้รับเงิน
ให้รายงานสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัดทราบเพื่อให้สรรพากรภาคลงนามในหนังสือมอบฉันทะรับเงินในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากรจำนวน 1 ฉบับ
เพื่อมอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่ในสังกัดรับเงิน ส่วนเฉลี่ยนำมาชำระภาษีอากรค้าง
แล้วแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบด้วย
6.2.4/2
กรณีศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เข้าเฉลี่ย
หรืออนุญาตให้ได้รับส่วนเฉลี่ยไม่เต็มจำนวนตามคำร้องขอ
ให้ดำเนินการอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งศาล
ตามหมวด 3 ทั้งนี้ให้แจ้งผลการดำเนินคดีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
หมวด 2
การดำเนินคดีล้มละลาย
ข้อ 7 กรณีกรมสรรพากรเป็นโจทก์ฟ้องคดีล้มละลายกับผู้ค้างภาษีอากรหรือลูกหนี้
ตามคำพิพากษาตามพระราชบัญญัติล้มละลาย
พุทธศักราช 2483 ให้ดำเนินการ
ดังนี้
ในเขตกรุงเทพมหานคร
7.1
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ลูกหนี้มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่หรือที่มูลคดีเกิดขึ้นแล้วแต่กรณี
รายงานข้อเท็จจริง
และจัดส่งสำนวนการตรวจสอบภาษีอากร สำนวนการพิจารณาอุทธรณ์ สำนวนการเร่งรัดภาษีอากรค้าง สำเนาทะเบียนบ้าน
หนังสือรับรองทะเบียนนิติบุคคล และเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
พร้อมทำความเห็นไปยังสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัดเพื่อพิจารณา
โดยต้องดำเนินการก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความไม่น้อยกว่า
2 ปี หรือก่อนสิทธิ
เรียกร้องขาดอายุความตามกฎหมาย
แล้วแต่กรณี
7.2
สำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว
ให้ดำเนินการ ดังนี้
7.2.1
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นควรยุติการดำเนินคดี
ให้ทำความเห็นเสนอกรมสรรพากรเพื่อขออนุมัติ
เมื่อกรมสรรพากรสั่งการให้ยุติเรื่อง ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทราบ
เพื่อดำเนินการเร่งรัดภาษีอากรค้าง
หรือดำเนินการอื่นใดตามควรแก่กรณี
7.2.2
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นควรดำเนินคดี
ให้จัดส่งเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
และใบแต่งทนายความซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาค
ในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร จำนวน 2 ฉบับ ให้สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อแต่งตั้งพนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีล้มละลาย
ทั้งนี้ให้รีบดำเนินการโดยด่วนก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความตามกฎหมาย
กรณีลูกหนี้มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่ตั้งแต่ 2 ภาคขึ้นไป ให้สำนักงานสรรพากรภาคที่ลูกหนี้มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่หรือมีภูมิลำเนาอยู่และมีภาษีอากรค้างตั้งอยู่เป็นผู้ดำเนินการ
เว้นแต่สำนักงานสรรพากรภาคที่ลูกหนี้มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่หรือมีภูมิลำเนาอยู่ไม่มีภาษีอากรค้าง
ให้สำนักงานสรรพากรภาคซึ่งมีภาษีอากรค้างตั้งอยู่จำนวนมากกว่าเป็นผู้ดำเนินการ
7.3
การดำเนินการในชั้นพนักงานอัยการและการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นศาลให้สำนักงานสรรพากรภาคมอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่ในสังกัดเป็นผู้ประสานงานกับพนักงานอัยการผู้ว่าคดี
และให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประสานงานร่วมด้วยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
7.4
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลการดำเนินคดีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ
เพื่อดำเนินการต่อไป
7.5
เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้
(จำเลย) เด็ดขาดแล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามข้อ 8 ต่อไป
7.6
กรณีศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ยกฟ้องคดีล้มละลายที่กรมสรรพากร
เป็นโจทก์ ให้ดำเนินการอุทธรณ์หรือฎีกา
ตามหมวด 3 ต่อไป
ในเขตจังหวัดอื่น
7.7
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ลูกหนี้มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่หรือที่มูลคดีเกิดขึ้นแล้วแต่กรณี
รายงานข้อเท็จจริงและจัดส่งสำนวนการตรวจสอบภาษีอากร
สำนวนการพิจารณาอุทธรณ์ สำนวนการเร่งรัดภาษีอากรค้าง สำเนาทะเบียนบ้าน หนังสือรับรองทะเบียนนิติบุคคลและเอกสาร
หลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พร้อมทำความเห็นไปยังสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัดเพื่อพิจารณา
โดยต้องดำเนินการก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความไม่น้อยกว่า
2 ปี
หรือก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความตามกฎหมาย
แล้วแต่กรณี
7.8
สำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว
ให้ดำเนินการ ดังนี้
7.8.1
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นควรยุติการดำเนินคดี
ให้ทำความเห็นเสนอกรมสรรพากรเพื่อขออนุมัติ
เมื่อกรมสรรพากรสั่งการให้ยุติเรื่อง ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทราบ
เพื่อดำเนินการเร่งรัดภาษีอากรค้างหรือดำเนินการ
อื่นใดตามควรแก่กรณี
7.8.2
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาเห็นควรดำเนินคดี
ให้จัดส่งเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานคร
ตามข้อ 4.1.6/2 เพื่อดำเนินการต่อไป
กรณีลูกหนี้มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่ตั้งแต่ 2 ภาคขึ้นไป ให้สำนักงานสรรพากรภาคที่ลูกหนี้มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่หรือมีภูมิลำเนาอยู่และมีภาษีอากรค้างตั้งอยู่เป็นผู้ดำเนินการ
เว้นแต่สำนักงานสรรพากรภาคที่ลูกหนี้มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่หรือมีภูมิลำเนาอยู่ไม่มีภาษีอากรค้าง
ให้สำนักงานสรรพากรภาคซึ่งมีภาษีอากรค้างตั้งอยู่จำนวนมากกว่าเป็นผู้ดำเนินการ
7.9
เมื่อสำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานครได้รับเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐาน
จากสำนักงานสรรพากรภาคในต่างจังหวัดตามข้อ
7.8.2 แล้ว
ให้จัดส่งเรื่องพร้อมเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง
ทั้งหมด และใบแต่งทนายความซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดี
กรมสรรพากร จำนวน
2 ฉบับ
ให้สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อแต่งตั้งพนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีล้มละลาย
ทั้งนี้ให้รีบดำเนินการโดยด่วนก่อนสิทธิเรียกร้องขาดอายุความตามกฎหมาย
7.10
การดำเนินการในชั้นพนักงานอัยการและการดำเนินกระบวนการพิจารณา
ในชั้นศาล ให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานครมอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่ในสังกัดเป็นผู้ประสานงานกับพนักงานอัยการผู้ว่าคดี
และให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประสานงานร่วมด้วยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
7.11
ให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานครแจ้งผลการดำเนินคดีให้หน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
7.12
เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้
(จำเลย) เด็ดขาดแล้ว ให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานครดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามข้อ
8 ต่อไป
7.13
กรณีศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ยกฟ้องคดีล้มละลายที่กรมสรรพากรเป็นโจทก์
ให้ดำเนินการอุทธรณ์หรือฎีกา ตามหมวด 3 ต่อไป
ข้อ 8 การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
ในเขตกรุงเทพมหานคร
8.1
กรณีกรมสรรพากรเป็นโจทก์ฟ้องคดีล้มละลาย
เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ลูกหนี้ (จำเลย) เด็ดขาดแล้ว
ให้สำนักงานสรรพากรภาคที่รับผิดชอบในการดำเนินคดีส่งใบมอบอำนาจ (ล.53) ซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
จำนวน 1 ฉบับ
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ลูกหนี้มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่
ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อ
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ภายในกำหนดเวลา 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
ตามมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย
พุทธศักราช 2483
กรณีลูกหนี้มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่ตั้งแต่ 2 พื้นที่ขึ้นไป
ให้สำนักงานสรรพากรภาคที่รับผิดชอบในการดำเนินคดีส่งใบมอบอำนาจ (ล.53) ซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาคในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
จำนวน 1 ฉบับ
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ส่งเรื่องให้ฟ้องคดีล้มละลาย
ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ภายในกำหนดเวลา 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา
91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย
พุทธศักราช 2483
กรณีศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ (จำเลย)
เด็ดขาดซึ่งเป็นหนี้ภาษีอากรที่ตั้งค้างอยู่ในจังหวัดอื่น ให้สรรพากรภาคในกรุงเทพมหานคร ตามข้อ 4.1.6/2
ลงนามในใบมอบอำนาจ (ล.53) ในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร จำนวน 1 ฉบับ มอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่ในสังกัดเป็นผู้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ภายในกำหนดเวลา 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา
91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย
พุทธศักราช 2483
8.2
กรณีสำนักงานสรรพากรพื้นที่ตรวจพบว่าผู้ค้างภาษีอากรถูกเจ้าหนี้อื่นฟ้องคดีล้มละลาย
และศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้
(จำเลย) เด็ดขาดแล้ว ให้รายงานสำนักงานสรรพากรภาค ที่สังกัดทราบ เพื่อให้สำนักงานสรรพากรภาคจัดส่งใบมอบอำนาจ (ล.53) ซึ่งลงนามโดยสรรพากรภาค ในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร จำนวน 1 ฉบับ ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ลูกหนี้
มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ภายในกำหนดเวลา 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา
91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย
พุทธศักราช 2483
กรณีลูกหนี้มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่ตั้งแต่ 2 พื้นที่ขึ้นไป ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ลูกหนี้มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่หรือมีภูมิลำเนาอยู่และมีภาษีอากรค้างตั้งอยู่เป็นผู้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เว้นแต่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ลูกหนี้มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่หรือมีภูมิลำเนาอยู่ไม่มีภาษีอากรค้าง
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ซึ่งมีภาษีอากรค้างตั้งอยู่จำนวนมากกว่าเป็นผู้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา
91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย
พ.ศ. 2483
8.3
ให้สำนักงานสรรพากรภาคหรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่ตามข้อ
8.1 และข้อ 8.2 แจ้งผลการยื่นคำขอรับชำระหนี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
8.4
กรณีศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้กรมสรรพากรได้รับชำระหนี้ไม่เต็มจำนวนตามคำขอรับชำระหนี้หรือยกคำขอรับชำระหนี้ทั้งหมด
ให้ดำเนินการอุทธรณ์หรือฎีกา ตามหมวด 3 ต่อไป
ในเขตจังหวัดอื่น
8.5
กรณีสำนักงานสรรพากรพื้นที่ตรวจพบว่าผู้ค้างภาษีอากรถูกเจ้าหนี้อื่น
ฟ้องคดีล้มละลาย
และศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ (จำเลย) เด็ดขาดแล้ว ให้รายงานสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัดทราบ
เพื่อส่งเรื่องให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานคร
ตามข้อ 4.1.6/2 ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
โดยให้ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ 8.1 วรรคสาม
8.6
ให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานครแจ้งผลการยื่นคำขอรับชำระหนี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
8.7
กรณีศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้กรมสรรพากรได้รับชำระหนี้ไม่เต็มจำนวนตามคำขอรับชำระหนี้หรือยกคำขอรับชำระหนี้ทั้งหมด
ให้ดำเนินการอุทธรณ์หรือฎีกา ตามหมวด 3 ต่อไป
ข้อ 9 การขอชำระหนี้ภาษีอากรค้างในระหว่างการดำเนินคดีล้มละลาย
ในระหว่างการดำเนินคดีล้มละลายกับผู้ค้างภาษีอากร
และศาลยังมิได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
ลูกหนี้ (จำเลย) เด็ดขาด กรณีผู้ค้างภาษีอากรขอชำระภาษีอากรเพื่อยุติคดี ให้สำนักงานสรรพากรภาคมีอำนาจพิจารณารับชำระหนี้เต็มจำนวนเท่านั้น
กรณีผู้ค้างภาษีอากรขอผ่อนชำระภาษีอากร
ให้สำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาอนุมัติให้ผ่อนชำระได้ตามระเบียบกรมสรรพากร
ว่าด้วยการผ่อนชำระภาษีอากร
เมื่อผู้ค้างภาษีอากรชำระหนี้ครบถ้วนหรือทำสัญญาผ่อนชำระตามระเบียบแล้ว
ให้สำนักงานสรรพากรภาคพิจารณายุติการดำเนินคดีล้มละลาย
และแจ้งให้สำนักงานอัยการสูงสุดถอนฟ้องคดีต่อไป
ข้อ 10 การขอประนอมหนี้
เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้
(จำเลย) เด็ดขาด และกรมสรรพากรได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว
กรณีลูกหนี้ (จำเลย)
ขอชำระหนี้แต่เพียงบางส่วน หรือโดยวิธีอื่น โดยทำคำขอประนอมหนี้เป็นหนังสือ
ไม่ว่ากรณีเป็นการประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย
หรือหลังล้มละลาย ให้สำนักงานสรรพากรภาคเป็นผู้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามระเบียบนี้
และตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย
พุทธศักราช 2483 ว่าด้วยการประนอมหนี้
และให้ดำเนินการ ดังนี้
10.1
กรณีลูกหนี้ยื่นคำขอประนอมหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ไม่ว่าจะยื่นต่อกรมสรรพากรหรือไม่ก็ตาม
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือผู้รับมอบอำนาจที่ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้รายงานสำนักงานสรรพากรภาคพร้อมจัดส่งหนังสือขอประนอมหนี้ของลูกหนี้ (ถ้ามี) โดยสรุปเงื่อนไข วิธีการ
และจำนวนเงินที่ลูกหนี้เสนอขอประนอมหนี้ จำนวนหนี้ที่กรมสรรพากรยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้หรือจำนวนหนี้ที่ศาลมีคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้
ผลการสำรวจทรัพย์สินของลูกหนี้
และจำนวนหนี้ ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ทั้งหมด พร้อมเสนอความเห็นเบื้องต้นด้วยว่าสมควรยอมรับคำขอประนอมหนี้หรือไม่
ประการใด
10.2
ให้สำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาคำขอประนอมหนี้ของลูกหนี้ได้ตามหลักเกณฑ์
ดังนี้
10.2.1
ลูกหนี้ (จำเลย) จะต้องไม่มีทรัพย์สินหรือมีแต่ไม่เพียงพอชำระหนี้ได้
หรือมีทรัพย์สินแต่เจ้าหนี้รายอื่นมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้อยู่ในลำดับก่อนเป็นจำนวนมากกว่าทรัพย์สินของลูกหนี้
10.2.2
ลูกหนี้ (จำเลย)
ต้องยินยอมชำระค่าใช้จ่ายและหนี้สินตามมาตรา 130 (1)-(7) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 และค่าทนายความที่ศาลสั่งโดยเต็มจำนวนและทันทีเมื่อศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้
10.2.3
การชำระเงินตามคำขอประนอมหนี้
ไม่ว่าจะชำระทันทีหรือผ่อนชำระลูกหนี้ (จำเลย) จะต้องชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้น
10.2.4
กรณีลูกหนี้ (จำเลย)
ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย
ให้ประนอมหนี้ได้ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้
หรือของจำนวนหนี้ที่ศาลมีคำสั่ง ให้กรมสรรพากรได้รับชำระหนี้ แล้วแต่กรณี
ไม่ว่าลูกหนี้ (จำเลย) จะขอผ่อนชำระหรือไม่ก็ตาม
10.2.5
กรณีลูกหนี้ (จำเลย) ขอประนอมหนี้หลังล้มละลาย
ให้ประนอมหนี้ได้ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ
40 ของจำนวนหนี้ที่ศาลมีคำสั่งให้กรมสรพากรได้รับชำระหนี้
ไม่ว่าลูกหนี้ (จำเลย) จะขอผ่อนชำระหรือไม่ก็ตาม
10.3
กรณีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาอนุมัติของสำนักงานสรรพากรภาค
ตามข้อ 10.2.4 และข้อ
10.2.5 ให้สำนักงานสรรพากรภาครายงานข้อเท็จจริงตามข้อ
10.1 พร้อมทำความเห็นเสนอกรมสรรพากรโดยด่วน
เพื่อพิจารณาสั่งการว่าจะยอมรับคำขอประนอมหนี้ของลูกหนี้
(จำเลย) หรือไม่
ข้อ 11 การขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการ
ในเขตกรุงเทพมหานคร
11.1
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคตรวจพบว่า
ผู้ค้างภาษีอากรในท้องที่ความรับผิดชอบ ถูกศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและตั้งผู้ทำแผนแล้ว
ให้สรรพากรภาคลงนามในใบมอบอำนาจ (ฟ.12) ในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
จำนวน 1 ฉบับ
มอบหมายให้นิติกรหรือเจ้าหน้าที่
ในสังกัดเป็นผู้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
พร้อมสำเนาต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
สำนักฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ กรมบังคับคดี ภายในกำหนดเวลา 1 เดือน นับแต่วันโฆษณา คำสั่งตั้งผู้ทำแผนตามมาตรา
90/26 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย
พุทธศักราช 2483
11.2
กรณีผู้ค้างภาษีอากรมีภาษีอากรค้างตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครตั้งแต่
2 ภาคขึ้นไป
ให้สำนักงานสรรพากรภาคที่ผู้ค้างภาษีอากรมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่และมีภาษีอากรค้างตั้งอยู่เป็นผู้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เว้นแต่สำนักงานสรรพากรภาคที่ผู้ค้างภาษีอากรมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ไม่มีภาษีอากรค้าง
ให้สำนักงานสรรพากรภาคซึ่งมีภาษีอากรค้างตั้งอยู่จำนวนมากกว่าเป็นผู้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
11.3
กรณีผู้ค้างภาษีอากรมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร
และมีสาขาตั้งอยู่ในเขตจังหวัดอื่น
หรือนัยกลับกัน ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ในเขตจังหวัดอื่นที่มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่รายงานสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัดเพื่อจัดส่งเรื่องให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานคร
ที่ผู้ค้างภาษีอากรมีสำนักงานแห่งใหญ่หรือมีสาขาตั้งอยู่เป็นผู้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อ
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
แต่หากเป็นกรณีตามข้อ 11.2 ให้ปฏิบัติตามข้อ
11.2
11.4
กรณีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยกคำขอรับชำระหนี้ทั้งหมดหรืออนุญาตให้ได้รับชำระหนี้บางส่วน
ให้สำนักงานสรรพากรภาคจัดส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลภายในกำหนดสิบสี่วันนับแต่วันที่ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
11.5
กรณีศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้กรมสรรพากรได้รับชำระหนี้ไม่เต็มจำนวนตามคำขอรับชำระหนี้หรือยกคำขอรับชำระหนี้ทั้งหมด
ให้ดำเนินการอุทธรณ์ ตามหมวด 3 ต่อไป
11.6
กรณีผู้รับมอบอำนาจได้รับแผนจากผู้ทำแผนแล้ว
ให้พิจารณาว่าแผนดังกล่าวถูกต้องหรือไม่
เช่น จำนวนหนี้ที่ได้รับชำระ การจัดกลุ่มเจ้าหนี้ ระยะเวลาการปฏิบัติตามแผน
หากแผนดังกล่าวไม่ถูกต้องให้ผู้รับมอบอำนาจดำเนินการยื่นคำร้องขอแก้ไขแผนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ล่วงหน้าก่อนวันประชุมเจ้าหนี้เพื่อปรึกษาลงมติว่าจะยอมรับแผนหรือไม่
ไม่น้อยกว่าสามวัน โดยให้สำเนาคำขอแก้ไขแผนเท่ากับจำนวนเจ้าหนี้และนำไปวางไว้กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ด้วย
11.7
กรณีผู้รับมอบอำนาจขอแก้ไขแผนไม่สำเร็จ
ให้สรรพากรภาคลงนามในใบแต่งทนายความในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
จำนวน 2 ฉบับ
จัดส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำคัดค้านแผนต่อศาลต่อไป
11.8
ให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานคร
แจ้งผลการยื่นคำขอรับชำระหนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
ในเขตจังหวัดอื่น
11.9
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคตรวจพบว่าผู้ค้างภาษีอากรในท้องที่ความรับผิดชอบ
ถูกศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและตั้งผู้ทำแผนแล้ว
ให้สำนักงานสรรพากรภาคที่มีภาษีอากรค้างตั้งอยู่
จัดส่งเรื่องให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานคร
ตามข้อ 4.1.6/2 เพื่อดำเนินการยื่นคำขอ
รับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โดยให้ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ 11.1 และข้อ 11.2 แล้วแต่กรณี
11.10
กรณีแผนไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือศาลมีคำสั่งให้กรมสรรพากร
ได้รับชำระหนี้ไม่เต็มจำนวนตามคำขอรับชำระหนี้หรือยกคำขอรับชำระหนี้ทั้งหมด
ให้ดำเนินการ เช่นเดียวกับข้อ 11.4 ข้อ 11.5 ข้อ 11.6 หรือข้อ 11.7 แล้วแต่กรณี
11.11
ให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานคร
แจ้งผลการยื่นคำขอรับชำระหนี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
หมวด 3
การอุทธรณ์
และฎีกา
ข้อ 12 กรณีศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง
และสำนักงานอัยการสูงสุด
หรือสำนักงานอัยการจังหวัด แล้วแต่กรณี
แจ้งผลคดีให้หน่วยงานที่ส่งเรื่องดำเนินคดีทราบแล้ว
การจะพิจารณาอุทธรณ์หรือฎีกาหรือไม่
ประการใด ให้สำนักงานสรรพากรภาคที่รับผิดชอบเป็นผู้พิจารณา
โดยให้ดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
พระราชบัญญัติจัดตั้ง
ศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย
พ.ศ. 2542 ว่าด้วยเรื่องการอุทธรณ์
และฎีกา
ในเขตกรุงเทพมหานคร
12.1
กรณีกรมสรรพากรเป็นโจทก์
ให้สำนักงานสรรพากรภาคดำเนินการ ดังนี้
12.1.1
กรณีกรมสรรพากรชนะคดี
และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่อุทธรณ์หรือไม่ฎีกา คดีถึงที่สุด ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลคดีพร้อมจัดส่งสำเนาคำพิพากษาให้กรมสรรพากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลต่อไป
กรณีคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอุทธรณ์หรือฎีกา
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งสำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการแก้อุทธรณ์หรือแก้ฎีกา
พร้อมทั้งจัดส่งหมายนัดของศาล (ถ้ามี)
และแจ้งการอุทธรณ์หรือฎีกาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
12.1.2
กรณีกรมสรรพากรแพ้คดีไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งสำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการอุทธรณ์หรือฎีกาไปก่อน
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคเห็นควรไม่อุทธรณ์หรือฎีกา
ให้รายงานความเห็นเสนอกรมสรรพากรเพื่อให้เสนอกระทรวงการคลังพิจารณาสั่งการว่าควรจะอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไปหรือไม่
ผลการพิจารณาของกระทรวงการคลัง
เป็นประการใด ให้กรมสรรพากรแจ้งสำนักงานสรรพากรภาคทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
และให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งการอุทธรณ์หรือฎีกาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบด้วย
12.1.3
กรณีกระทรวงการคลังพิจารณาเห็นควรไม่อุทธรณ์หรือฎีกา
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งสำนักงานอัยการสูงสุด
เพื่อดำเนินการถอนอุทธรณ์หรือถอนฎีกาต่อไป
12.2
กรณีกรมสรรพากรและหรือเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรเป็นจำเลย
ให้สำนักงานสรรพากรภาคดำเนินการ
ดังนี้
12.2.1
กรณีกรมสรรพากรชนะคดีและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่อุทธรณ์หรือไม่ฎีกา
คดีถึงที่สุด ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลคดีพร้อมจัดส่งสำเนาคำพิพากษาให้กรมสรรพากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
กรณีคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอุทธรณ์หรือฎีกา
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งสำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการแก้อุทธรณ์หรือแก้ฎีกา
พร้อมทั้งจัดส่งหมายนัดของศาล (ถ้ามี)
และแจ้งการอุทธรณ์หรือฎีกาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
12.2.2
กรณีกรมสรรพากรแพ้คดีไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
ให้สำนักงานสรรพากรภาคดำเนินการต่อไปเช่นเดียวกับข้อ
12.1.2 และข้อ 12.1.3
ในเขตจังหวัดอื่น
12.3
กรณีกรมสรรพากรเป็นโจทก์
เมื่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้รับแจ้งผลคดีศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์แล้ว
ให้รายงานสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัดทราบ
และให้ดำเนินการดังนี้
12.3.1
กรณีกรมสรรพากรชนะคดีและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่อุทธรณ์หรือไม่ฎีกา
คดีถึงที่สุด ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลคดีพร้อมจัดส่งสำเนาคำพิพากษาให้กรมสรรพากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลต่อไป
กรณีคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอุทธรณ์หรือฎีกา
ให้สำนักงานสรรพากรภาคสั่งการให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่แจ้งสำนักงานอัยการจังหวัดดำเนินการแก้อุทธรณ์หรือแก้ฎีกา
พร้อมทั้งจัดส่งหมายนัดของศาล (ถ้ามี)
และแจ้งการอุทธรณ์หรือฎีกาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
12.3.2
กรณีกรมสรรพากรแพ้คดีไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
ให้สำนักงานสรรพากรภาคสั่งการให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่แจ้งสำนักงานอัยการจังหวัดดำเนินการอุทธรณ์
หรือฎีกาไปก่อน
กรณีสำนักงานสรรพากรภาคเห็นควรไม่อุทธรณ์หรือฎีกา
ให้รายงานความเห็นเสนอกรมสรรพากรเพื่อให้เสนอกระทรวงการคลังพิจารณาสั่งการว่าควรจะอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไปหรือไม่
ผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังเป็นประการใด
ให้กรมสรรพากรแจ้งสำนักงานสรรพากรภาคทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
และให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งการอุทธรณ์หรือฎีกาให้หน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องทราบด้วย
12.3.3
กรณีกระทรวงการคลังพิจารณาเห็นควรไม่อุทธรณ์หรือฎีกา
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งสำนักงานสรรพากรพื้นที่
เพื่อให้สำนักงานอัยการจังหวัดดำเนินการถอนอุทธรณ์
หรือถอนฎีกาต่อไป
12.4
กรณีกรมสรรพากรและหรือเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรเป็นจำเลย
เมื่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้รับแจ้งผลคดีศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์แล้ว
ให้รายงานสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัดทราบ
และให้ดำเนินการ ดังนี้
12.4.1
กรณีกรมสรรพากรชนะคดีและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่อุทธรณ์หรือไม่ฎีกา
คดีถึงที่สุด ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลคดีพร้อมจัดส่งสำเนาคำพิพากษาให้กรมสรรพากร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
กรณีคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอุทธรณ์หรือฎีกา
ให้สำนักงานสรรพากรภาคสั่งการให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่
แจ้งสำนักงานอัยการจังหวัดดำเนินการแก้อุทธรณ์หรือแก้ฎีกา
พร้อมทั้งจัดส่งหมายนัดของศาล (ถ้ามี)
และให้แจ้งการอุทธรณ์หรือฎีกาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
12.4.2
กรณีกรมสรรพากรแพ้คดีไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
ให้สำนักงานสรรพากรภาคดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ
12.3.2 และข้อ 12.3.3
ต่อไป
หมวด 4
การบังคับคดีแพ่ง
ข้อ 13 กรณีศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งและคดีถึงที่สุดแล้ว
หากต้องดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล
ให้สำนักงานสรรพากรภาคพิจารณาสั่งการให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลตามที่ระบุในหมายบังคับคดี
โดยอาศัยหลักเกณฑ์และวิธีการ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการบังคับคดี
ในเขตกรุงเทพมหานคร
13.1
กรณีกรมสรรพากรเป็นโจทก์
เมื่อได้รับแจ้งผลคดีถึงที่สุดแล้ว ให้สำนักงานสรรพากรภาคดำเนินการ
ดังนี้
13.1.1
กรณีกรมสรรพากรชนะคดีและลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล
ถ้ายังมิได้มีการออกหมายบังคับคดี
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งสำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีโดยด่วน
เมื่อได้รับหมายบังคับคดีของศาลแล้ว
ให้สำนักงานสรรพากรภาค ที่ดำเนินคดีหรือดำเนินคดีแทนสำนักงานสรรพากรภาคในเขตจังหวัดอื่น
แจ้งให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่
นำยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา (รวมค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความ)
โดยให้สรรพากรภาคลงนามในหนังสือมอบอำนาจยึดทรัพย์
ในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
จำนวน 1 ฉบับ
มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานสรรพากรพื้นที่พร้อมจัดส่งหมายบังคับคดีเพื่อนำยึดทรัพย์สินและประสานงานกับเจ้าพนักงานบังคับคดี
กรมบังคับคดี
เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้แล้ว ให้นำเงินชำระหนี้
ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความที่ศาลสั่งให้ชำระแทนโจทก์ ให้สำนักงานสรรพากรภาค ส่งเงินให้สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการต่อไป
13.1.2
กรณีกรมสรรพากรแพ้คดีและได้รับคำบังคับของศาลแล้ว
ให้สำนักงาน สรรพากรภาคแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามคำบังคับของศาล
กรณีต้องส่งเงินค่าฤชาธรรมเนียม
ค่าทนายความ หรือเงินอื่นใดตามคำพิพากษาของศาล ให้ดำเนินการนำเงินวางศาลโดยด่วน
13.2
กรณีกรมสรรพากรและหรือเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรเป็นจำเลย
เมื่อได้รับแจ้งผลคดีถึงที่สุด
ให้สำนักงานสรรพากรภาค ดำเนินการ ดังนี้
13.2.1
กรณีกรมสรรพากรชนะคดีและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องรับผิด
ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ
เพื่อดำเนินการต่อไป
กรณีคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งต้องรับผิดค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ
ให้ดำเนินการบังคับคดีเฉพาะค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ
โดยให้ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ
13.1.1
13.2.2
กรณีกรมสรรพากรแพ้คดีและได้รับคำบังคับของศาลแล้ว
ให้สำนักงาน สรรพากรภาคแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามคำบังคับของศาล
กรณีต้องส่งเงินค่าฤชาธรรมเนียม
ค่าทนายความ หรือเงินอื่นใดตามคำพิพากษา ให้ดำเนินการนำเงินวางศาลโดยด่วน
13.2.3
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งผลการบังคับคดีให้กรมสรรพากรทราบด้วย
ในเขตจังหวัดอื่น
13.3
กรณีกรมสรรพากรเป็นโจทก์
เมื่อได้รับแจ้งผลคดีถึงที่สุดแล้ว ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่รายงานสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัดทราบ
และให้ดำเนินการ ดังนี้
13.3.1
กรณีกรมสรรพากรชนะคดีและลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล
ถ้ายังมิได้มีการออกหมายบังคับคดี
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งสำนักงานสรรพากรพื้นที่ เพื่อให้สำนักงานอัยการจังหวัดดำเนินการขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีโดยด่วน
เมื่อได้รับหมายบังคับคดีของศาลแล้ว
ให้สำนักงานสรรพากรภาค
แจ้งให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่นำยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา (รวมค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ)
โดยให้สรรพากรภาคลงนามในหนังสือมอบอำนาจยึดทรัพย์ในฐานะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากรจำนวน 1 ฉบับ มอบหมายให้ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานสรรพากรพื้นที่พร้อมจัดส่งหมายบังคับคดีเพื่อนำยึดทรัพย์สินและประสานงานกับเจ้าพนักงานบังคับคดี
สำนักงานบังคับคดีประจำจังหวัด
เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้แล้ว
ให้นำเงินชำระหนี้
ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความที่ศาลสั่งให้ชำระแทนโจทก์ ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ส่งเงินให้สำนักงานอัยการจังหวัดเพื่อดำเนินการต่อไป
13.3.2
กรณีกรมสรรพากรแพ้คดีและได้รับคำบังคับของศาลแล้ว
ให้สำนักงาน สรรพากรภาคแจ้งให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามคำบังคับของศาล
กรณีต้องส่งเงินค่าฤชาธรรมเนียม
ค่าทนายความ หรือเงินอื่นใดตามคำพิพากษาของศาล ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ดำเนินการนำเงินวางศาลโดยด่วน
13.4
กรณีกรมสรรพากรและหรือเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรเป็นจำเลย
เมื่อได้รับแจ้งผลคดีถึงที่สุด
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่รายงานสำนักงานสรรพากรภาคที่สังกัด
และให้ดำเนินการ ดังนี้
13.4.1
กรณีกรมสรรพากรชนะคดีและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องรับผิด
ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่รายงานสำนักงานสรรพากรภาค และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
กรณีคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งต้องรับผิดค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ
ให้ดำเนินการบังคับคดีเฉพาะค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ
โดยให้ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ
13.3.1
13.4.2
กรณีกรมสรรพากรแพ้คดีและได้รับคำบังคับของศาลแล้ว
ให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามคำบังคับของศาล
กรณีต้องส่งเงินค่าฤชาธรรมเนียม
ค่าทนายความ หรือเงินอื่นใดตามคำพิพากษา ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ดำเนินการนำเงินวางศาลโดยด่วน
13.4.3
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่แจ้งผลการบังคับคดี
ให้สำนักงานสรรพากรภาคทราบและให้สำนักงานสรรพากรภาคแจ้งกรมสรรพากรทราบด้วย
ข้อ 14 กรณีลูกหนี้ตามคำพิพากษาย้ายสำนักงานแห่งใหญ่หรือภูมิลำเนาจากกรุงเทพมหานคร
ไปอยู่ในเขตจังหวัดอื่น หรือนัยกลับกัน
ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษามีสำนักงานแห่งใหญ่หรือภูมิลำเนาเป็นผู้ดำเนินการบังคับคดี
หมวด 5
การดำเนินคดีกรณีความผิดซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่
ข้อ 15 การดำเนินคดีกรณีความผิดซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่
ให้สำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่เป็นผู้ดำเนินการ
โดยให้นำหมวด 1 ถึงหมวด
4 มาใช้บังคับ
โดยอนุโลม ทั้งนี้ให้มีอำนาจดำเนินการเช่นเดียวกับสำนักงานสรรพากรภาค
หมวด 6
การดำเนินคดีกรณีความผิดซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
ข้อ 16 การดำเนินคดีกรณีความผิดซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. 2542 ไม่ว่ากรมสรรพากรจะเป็นผู้ฟ้องคดี
.
หรือกรมสรรพากรและหรือเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรเป็นผู้ถูกฟ้องคดีก็ตามให้สำนักงานสรรพากรภาคหรือสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่เป็นผู้ดำเนินการสำหรับกรณีที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานสรรพากรภาคหรือสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่แล้วแต่กรณี
หากเป็นกรณีที่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานสรรพากรภาคหรือสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ให้กลุ่มงานสืบสวนและคดี
เป็นผู้ดำเนินการ โดยให้นำหมวด 1 ถึงหมวด 4 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวด 7
เบ็ดเตล็ด
ข้อ 17 กรณีการดำเนินคดีที่ไม่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานสรรพากรภาค
และสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่
ให้หน่วยงานที่จะดำเนินคดีหรือถูกฟ้องคดีส่งเรื่องให้กลุ่มงานสืบสวนและคดี
เป็นผู้ดำเนินการ โดยให้ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ
5
ข้อ 18 กรณีกรมศุลกากรส่งเรื่องให้กรมสรรพากรดำเนินการทางศาลกับผู้เสียภาษีอากร
ซึ่งกรมศุลกากรจัดเก็บภาษีอากรแทนกรมสรรพากร
เมื่อไม่สามารถจัดเก็บภาษีอากรรายหนึ่งรายใดได้
ให้กลุ่มงานสืบสวนและคดีตรวจสอบว่าผู้เสียภาษีอากรมีสำนักงานแห่งใหญ่หรือภูมิลำเนาอยู่ในท้องที่ความรับผิดชอบของสำนักงานสรรพากรภาคใด
แล้วดำเนินการจัดส่งเรื่องให้สำนักงานสรรพากรภาคนั้นดำเนินการ
ตามข้อ 4.1.2
กรณีเป็นสำนักงานสรรพากรภาคในเขตจังหวัดอื่น
ก็ให้ส่งเรื่องให้สำนักงานสรรพากรภาคในกรุงเทพมหานครดำเนินการตามข้อ
4.1.6/2
ข้อ 19 กรณีหน่วยราชการอื่นขอให้กรมสรรพากรเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม
ให้สำนักงานเลขานุการกรมหรือหน่วยงานที่ได้รับหนังสือจากหน่วยราชการอื่น
จัดส่งเรื่องให้กลุ่มงานสืบสวนและคดีทันทีเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
ข้อ 20 ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในระเบียบนี้
หรือปัญหาอื่นใดที่มิได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้
ให้รายงานกรมสรรพากรเพื่อพิจารณาสั่งการ
ข้อ 21 ให้หัวหน้ากลุ่มงานสืบสวนและคดีเป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2546
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
(นายศุภรัตน์
ควัฒน์กุล)
อธิบดีกรมสรรพากร