อายัด
1.
สิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นทรัพย์สิน
ตามมาตรา 138 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
จึงสามารถอายัดได้ (กค 0802(กม)/1719 ลว. 11 สิงหาคม 2536)
2. การอายัดบัญชีเงินฝากธนาคารนั้น
มีสิทธิอายัดแต่เฉพาะเงินสดในบัญชีเงินฝากเท่ากับจำนวนค่าภาษีอากร
รวมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มที่คำนวณถึงวันที่ธนาคารนำส่งเงินตามอายัด
(กค 0811 /1060 ลว. 4 กุมภาพันธ์ 2542)
3. กรณีที่ผู้ค้างฯ มอบสมุดฝากเงินไว้เป็นประกันหนี้ต่อธนาคาร
มิใช่การจำนำตราสารสิทธิ ธนาคารไม่ใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนำที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญอื่น
ธนาคารต้องนำส่งเงินตามคำสั่ง อายัด
ธนาคารจะหักเงินในบัญชีเงินฝากก่อนนำส่งเงินส่งให้กรมสรรพากรไม่ได้
(กค 0802(กม)/0392 ลว. 8 มีนาคม 2539,
กค 0811(กม)/937 ลว. 20 พฤษภาคม 2541,
กค 0811/17057 ลว. 17 ธันวาคม 2541,
กค 0811(กม)/1002 ลว. 21 กรกฎาคม 2542)
4. กรณีผู้ค้างฯ มีบัญชีเงินฝากที่มีแต่ยอดเงินกู้เกินบัญชีที่ผู้ค้างฯ
เป็นหนี้ธนาคารและมีวงเงิน ที่เหลือตามสัญญา ถือเป็นการก่อหนี้มิใช่เกิดสิทธิเรียกร้องให้ได้รับชำระหนี้อันเป็นทรัพย์สินของผู้ค้างฯ
จึงไม่มีเงินที่จะเป็นทรัพย์ของผู้ค้างฯ
ตามบัญชีเงินฝากที่ธนาคารจะนำส่งให้ได้ตามคำสั่งอายัด
(กค 0811 /08388 ลว. 17 สิงหาคม 2542,
กค 0811/ก.130 ลว. 6 สิงหาคม 2544)
5. กรณีผู้ค้างฯ มีบัญชีเงินฝากธนาคาร
แต่ติดภาระผูกพันตามเงื่อนไขสัญญากับส่วนราชการ
ถือว่าเป็นข้อตกลงระหว่างคู่สัญญา ไม่ผูกพันกรมสรรพากรซึ่งเป็นบุคคลภายนอก
เมื่ออายัดบัญชีเงินฝากธนาคารต้องนำส่งเงินตามคำสั่งอายัดให้กรมสรรพากร
หากธนาคารไม่นำส่งเงินตามคำสั่งอายัด
ต้องออกคำสั่งเตือนให้ธนาคารปฏิบัติตามคำสั่งอายัดอีกครั้ง
ถ้ายังไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอายัดให้ดำเนินคดีอาญา
ตามมาตรา 35 ทวิ
แห่งประมวลรัษฎากร และดำเนินคดีแพ่งบังคับให้ธนาคารนำสั่งเงินตามคำสั่งอายัด
ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎกร
(กค 0811(กม)/452 ลว. 25 มีนาคม 2542,
กค 0811 (กม)/196 ลว. 28 พฤศจิกายน 2542)
6. กรณีผู้ค้างฯ มีกรรมสิทธิ์ในอาคารชุด
กรมสรรพากรสามารถยึดกรรมสิทธิ์ในอาคารชุดได้
แต่ยึดหรืออายัดทรัพย์สินส่วนกลางไม่ได้
(กค (กม)/912 ลว. 21 เมษายน 2536)
7. กรณีผู้ค้างฯ โอนสิทธิเรียกร้องในการรับค่าจ้างโดยทำเป็นหนังสือและได้บอกกล่าวเป็นหนังสือแล้ว
ถือว่าสมบูรณ์ตามมาตรา 306 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
สิทธิที่จะได้รับเงินค่าจ้าง
ตกเป็นของผู้รับโอน และขาดจากการเป็นสิทธิหรือทรัพย์สินของผู้ค้างฯ จึงอายัดสิทธิเรียกร้องที่โอนไปแล้วไม่ได้ ผกค 0811(กม)/1754 ลว.28 กันยายน 2541)
8. กรณีผู้ค้างฯ ถือหุ้นในนิติบุคคล
กรมสรรพากรสามารถอายัดเงินค่าหุ้น
เงินผลกำไร และเงินปันผลหรือดอกเบี้ยได้ เพราะผู้ค้างฯ
มีสิทธิเรียกร้องจากนิติบุคคลเอาผลกำไรหรือถอนค่าหุ้น (กค 0802/6721 ลว. 18 ธันวาคม 2527,
กค 0802(กม)/1830 ลว.21 กันยายน 2537,
กค 0811/3376 ลว. 4 ตุลาคม 2539)
9. กรณีผู้ค้างฯ ได้รับเงินเดือน
เงินค่าตอบแทน เงินค่าป่วยการ
เงินประจำตำแหน่งและเบี้ยประชุม และเงินดังกล่าวมิได้มีการเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณประเภทเงินเดือน
ไม่ถือว่าเป็นเงินเดือน
กรมสรรพากรสามารถอายัดได้ (กค 0802/4276 ลว. 7 มีนาคม 2537,
กค 0802/19584 ลว. 26 ตุลาคม 2537, กค 0811(กม.01)/340 ลว. 7 มีนาคม 2543)
10. กรณีชื่อบัญชีเงินฝากเป็นของผู้ค้างฯ
เพื่อบุตรผู้เยาว์
สิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากเป็นสิทธิเรียกร้องของผู้ค้างฯ จึงสามารถอายัดได้ (กค 0811/10047 ลว. 24 กันยายน 2542,
กค 0706/6178 ลว. 2 กรกฎาคม 2546)
11. กรณีได้ดำเนินการอายัดสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากแล้ว
ต่อมาผู้ค้างฯ ได้นำเงินมาชำระหนี้ค่าภาษีอากรครบถ้วน
หรือได้รับชำระหนี้ครบถ้วนแล้วโดยวิธีอื่นๆ แต่ยังมิได้ถอนคำสั่งอายัด
ต่อมาภายหลังปรากฏว่าผู้ค้างฯ ยังคงมีหนี้ภาษีอากรอีกจำนวนหนึ่ง
แต่ไม่เกินมูลหนี้ที่ได้อายัดไว้แต่เดิม กรณีดังกล่าวไม่ถือว่าคำสั่งอายัดฉบับเดิมมีผลรวมไปถึงจำนวนหนี้ภาษีอากรที่ได้ตรวจพบใหม่
ดังนั้น ให้ถอนคำสั่งอายัดฉบับเดิม
และให้ออกคำสั่งอายัดฉบับใหม่เพื่ออายัดสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากของผู้ค้างฯ
ในจำนวนหนี้ใหม่ในคราวเดียวกัน
(กค 0706/6178 ลว. 2 กรกฎาคม 2546)
12. กรณีผู้ค้างฯ มีสิทธิได้รับเงินค่าปรับคืนจากกรมชลประทานซึ่งเป็นเงินกู้จาก
OECF โดยจ่ายผ่านธนาคารกรุงไทย
จำกัด สำนักงานใหญ่ ดังนั้น จึงสามารถอายัดเงินดังกล่าวไปยังธนาคารกรุงไทย
จำกัด สำนักงานใหญ่ได้
กรณีสัญญาค้ำประกันของธนาคารที่ค้ำประกันผู้ค้างฯ
ให้ปฏิบัติตามสัญญานั้น ไม่ได้เป็นการค้ำประกันหนี้ภาษีอากร และไม่ใช่เงินที่บุคคลภายนอกจะต้องชำระให้แก่ผู้ค้างฯ
กรมสรรพากรจึงไม่สามารถอายัดได้
(กค 0802(กม)/1909 ลว. 4 ตุลาคม 2537)
13. กรณีอายัดบัญชีเงินฝากธนาคารและธนาคารได้นำส่งเงินตามคำสั่งอายัดแล้ว
ต่อมาปรากฏว่าเจ้าของบัญชีเงินฝากเป็นคนละคนกับผู้ค้างฯ
จึงเป็นกรณีที่อายัดผิด ต้องดำเนินการถอนคืนเงินตามที่อายัดผิดซึ่งชำระเป็นหนี้ภาษีอากรและได้นำส่งเป็นรายได้แผ่นดินแล้ว
ให้แก่เจ้าของบัญชีเงินฝากต่อไป
(กค 0811/10786 ลว.16 กรกฎาคม 2541)
14. กรณีกระทรวงการคลังยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ค้างฯ
ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
พ.ศ.2527 เพื่อรอผลการดำเนินคดี
กรมสรรพากรสามารถยึดอายัดตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากรได้ ไม่ถือว่าเป็นการยึดหรืออายัดซ้ำ
เนื่องจากทรัพย์สินมิได้ถูกยึดหรืออายัดโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี
หากกระทรวงการคลังยอมส่งมอบทรัพย์สินที่อายัดและกรมสรรพากรได้นำทรัพย์สินมาชำระหนี้ภาษีอากรแล้ว
ต่อมาผลการดำเนินคดีผู้ค้างฯ
ต้องใช้ค่าเสียหายแก่ประชาชนผู้ให้กู้ยืมและหากมีการบังคับคดี
กรมสรรพากรไม่มีหน้าที่ต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่ผู้ใด
เนื่องจากถือเป็นเงินที่กรมสรรพากรได้มีคำสั่งยึดหรืออายัดตามมาตรา
12 แห่งประมวลรัษฎากร
เพื่อบังคับชำระหนี้สำเร็จบริบูรณ์ตามกฎหมาย แล้ว
หากกระทรวงการคลังไม่ยอมส่งมอบทรัพย์สินที่อายัด
หากมีการบังคับคดี กรมสรรพากร มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ ตามมาตรา 290 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
(กค 0802/806 ลว. 21 มิถุนายน 2538)
15. กรณีห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นหนี้ภาษีอากรและสามีเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ
หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าหนี้ภาษีอากรดังกล่าวเป็นหนี้ที่สามีและภริยาต้องรับผิดร่วมกัน
ตามมาตรา 1490 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เมื่อสอบสวนทรัพย์พบว่าสามีมีเงินฝากในธนาคารในชื่อของภริยา
ย่อมใช้อำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร
ยึดหรืออายัดสินสมรสส่วนของสามีได้ แต่จะยึดหรืออายัดสินส่วนตัวของภริยาไม่ได้
ต้องดำเนินการทางศาลเท่านั้น (กค 0811/5816 ลว. 28 มิถุนายน 2545)
16. กรณีผู้ค้างฯ มีกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรรัฐบาล กรมสรรพากรอายัดได้
ถึงแม้จะโอนกรรมสิทธิ์ ให้การไฟฟ้านครหลวงเพื่อประกันการใช้ไฟฟ้าแล้ว ก็อายัดได้
(กค 0802/14216 ลว. 14 กันยายน 2532)
17. คำสั่งอายัดตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร
หมายความรวมถึงการสั่งให้บุคคลภายนอกส่งมอบทรัพย์สินของผู้ค้างฯ
ต่อเจ้าพนักงานด้วย
และเมื่อทรัพย์สินของผู้ค้างฯ มาอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงานแล้ว
เจ้าพนักงานสามารถนำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ภาษีอากรได้
(กค 0732/ก.1248 ลว. 9 ตุลาคม 2546)